สิวเกิดจากการอักเสบของรูขุมขนและต่อมไขมัน (Pilosebaceous Unit) และถูกจัดเป็นโรคทางผิวหนังที่พบมากที่สุด มักจะเริ่มเกิดสิวได้ตั้งแต่อายุ 12 ปี หรือในบางคนก็อาจเกิดเร็วกว่านั้น ประมาณ 80-90% ของวัยรุ่นมักเกิดปัญหาสิว บริเวณที่พบว่าเกิดสิวได้ง่ายคือ ที่หน้า หน้าอก แผ่นหลัง ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและอาจยังคงมีอยู่จนกระทั่งถึงวัยผู้ใหญ่ หลังจากเริ่มเป็นสิวความรุนแรงของสิวจะมากขึ้น 3-5 ปี และจะลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
85% ของผู้เป็นสิวจะเป็นชนิดไม่รุนแรง มีเพียง 15% ที่เป็นสิวอักเสบรุนแรง คนที่เป็นสิวมักมีปัญหาผิวมัน และเกิดการอุดตันกลายเป็นสิวอุดตันชนิดหัวเปิด (Open Comedone) และชนิดหัวปิด (Close Comedone) สำหรับสิวที่รุนแรงปานกลางและรุนแรงมากนั้นจะมีอาการบวมแดง อักเสบ และพัฒนาเป็นหัวหนองต่อไป นำไปสู่การเกิดรอยดำ รอยแดงหลังการอักเสบ และรอยแผลเป็นในระยะยาวได้อีกด้วย ทำให้บางคนเกิดความกังวล และสูญเสียความมั่นใจในตนเองจากการเป็นสิว
สิวแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. สิวไม่อักเสบ
ได้แก่ สิวชนิดหัวเปิดและหัวปิด ไม่มีการอักเสบ บวมแดง เนื่องจากผนังรูขุมขนไม่เสียหาย
สิวหัวดำ (Blackhead) หรือสิวหัวเปิด เกิดจากรูขุมขนเปิดออกและเมื่อสิวโดนออกซิเจนก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ไม่พัฒนาไปเป็นสิวอักเสบ
สิวหัวขาว (Whitehead) หรือสิวหัวปิด เนื่องจากรูขุมขนปิดจึงทำให้สังเกตได้ยาก มีโอกาสพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบ
2. สิวอักเสบ
มีลักษณะเป็นตุ่มนูน (Papules) ตุ่มหนอง (Pustules) และตุ่มก้อน (Nodules) สิวอักเสบเหล่านี้มีรอยบวมแดง อักเสบ เนื่องจากเชื้อ C. acnes ผลิตเอนไซม์ที่สามารถทำให้ผนังรูขุมขนอ่อนแอลงและเกิดความเสียหาย เซลล์เม็ดเลือดขาวและแดงจึงเคลี่ยนที่ไปยังจุดนั้นเพื่อยับยั้งความเสียหายรอย เราจึงมองเห็นรอยแดงของสิว สิวอักเสบมีดังนี้
สิวตุ่มนูน (Papules) มีขนาดเล็ก มีตุ่มนูนแดงใต้ผิวหนัง เป็นสิวอักเสบเริ่มต้น
สิวตุ่มหนอง (Pustules) มีตุ่มนูนสีแดง และมีหนองสีขาวที่ส่วนปลาย หนองสีขาวเกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายจากการต่อสู้
สิวตุ่มก้อน (Nodule) มีลักษณะเป็นตุ่มก้อนชัดเจน ตุ่มก้อนมีสีแดงหรือม่วง เกิดจากสิวที่ฝังรากลึกและติดเชื้อในรูขุมขนจำนวนมาก สัมผัสแล้วเจ็บ
สิวซีสต์ (Cyst) มีลักษณะเป็นรอยสิวขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนอง ซึ่งเป็นผลมาจากการอักเสบที่รุนแรงจนพัฒนามาเป็นสิวเรื้อรัง ก่อให้เกิดแผลเป็นได้
ระดับความรุนแรงของสิวแบ่งเป็น 3 ระดับ
ซึ่งดูจากชนิดของสิว ได้แก่ ตุ่มนูน (Papules), ตุ่มหนอง (Pustules), และตุ่มก้อน (Nodules)
1. สิวรุนแรงน้อย แสดงให้เห็นสิวชนิดหัวเปิดและหัวปิด
2. สิวรุนแรงปานกลาง แสดงให้เห็นสิวอักเสบ
3. สิวรุนแรงมาก แสดงให้เห็นสิวอักเสบคล้ายฝี
สาเหตุสำคัญ 4 ประการที่นำไปสู่การก่อตัวของสิว
1. การผลิตน้ำมันในผิวมากเกินไป (Seborrhea) ในทางสรีรวิทยาต่อมไขมันจะผลิตน้ำมันเพื่อการหล่อลื่นผิวหนัง มีหลายปัจจัยที่สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันได้ เช่น
ฮอร์โมน (Hormone) ฮอร์โมนกระตุ้นให้ต่อมไขมันโตขึ้น ประกอบกับการอุดตันของต่อมไขมัน และเชื้อแบคทีเรีย C. acnes บนผิวหนัง ทำให้เกิดสิว
สิ่งแวดล้อม (Environment) การสัมผัสหรืออยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษ เช่น ฝุ่นละออง ความร้อน แสงแดด ล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นการเกิดสิว
ยาบางชนิด (Drug) เช่น ยาที่มีผลต่อฮอร์โมน
พันธุกรรม (Genetic) คนที่มีพ่อแม่เป็นสิวมาก เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นมักมีแนวโน้มที่จะเป็นสิวมากเช่นกัน
2. ผิวหนังหนาขึ้นผิดปกติ (Hyperkeratosis) การที่ผิวหนังบริเวณปากรูขุมขนเกิดการหนาตัวขึ้นผิดปกติทำให้เกิดการอุดตันท่อต่อมไขมัน เมื่อต่อมไขมันสร้างน้ำมันออกมาในปริมาณมาก ทำให้เกิดการอุดตันขึ้นในรูขุมขนซึ่งกลายเป็นสิวอุดตัน
3. เชื้อสิวเจริญเติบโตขึ้น (Microbial Colonization) เมื่อรูขุมขนมีการอุดตันจะเกิดภาวะขาดออกซิเจนทำให้เชื้อ C. acnes เจริญเติบโตได้ดี เชื้อสิวจะทำการย่อยซีบัม (Sebum) มาเป็นอาหาร ซึ่งทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนจนกลายเป็นสิวอุดตัน นอกจากนี้เชื้อสิวยังทำลายเซลล์ผิวจนเกิดการอักเสบขึ้น
4. เกิดอาการอักเสบ (Inflammation) กระบวนการอักเสบของร่างกายทำให้เกิดสิวบวมแดงและอักเสบเป็นหนองในกรณีรุนแรง การอักเสบจะขยายลึกลงไปในบริเวณเนื้อเยื่อที่อยู่รอบข้าง
ปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้อาการของสิวแย่ลง
1. ทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง (น้ำตาลและแป้ง)
2. การบริโภคนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวมากเกินไป (ยกเว้นเนยแข็ง)
3. การสูบบุหรี่
4. ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน (Comedogenic)
5. เกิดความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ การพักผ่อนไม่เพียงพอ การเจ็บปวย ความวิตกกังวลต่างๆ
6. รักษาสุขลักษณะไม่เพียงพอ เช่น การขาดการดูแลความสะอาดของร่างกายและอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ
7. การล้างหน้าบ่อยๆ อาจเกิดการระตายเคือง ทำให้เป็นสิวได้
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ร่วมกับยารักษาสิว
1. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด การล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนสามารถลดจำนวนสิวอักเสบและไม่อักเสบลงได้ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าเหล่านี้ควรมีคุณสมบัติ Non-Comedogenic, Nonacnegenic ปราศจากแอลกอฮอล์ สารระคายเคืองหรือการแพ้ นอกจากนั้นยังต้องเหมาะสมกับสภาพผิวและมีค่า pH ใกล้เคียงกับผิว ในบางผลิตภัณฑ์อาจมีการเพิ่มสารที่ช่วยดูแลผิวเป็นสิวเช่น Salicylic Acid เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
2. ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้น เนื่องจากผลข้างเคียงของการรักษาสิวคือ การระคายเคืองและแห้ง การใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นร่วมกับการรักษาสิวจะช่วยลดและป้องกันการระคายเคือง และยังไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการรักษาสิว
ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นนี้ควรมีคุณสมบัติ Water-Based ไม่เหนอะ ไม่มีสารทำให้เกิดสิวและการแพ้ สามารถใช้ได้ตั้งแต่เริ่มการรักษา
3. ผลิตภัณฑ์ป้องกันแดด ผลิตภัณฑ์ปกป้องแสงยูวีมีส่วนสำคัญในการป้องกันรอยดำจากสิวและการไวต่อแสงแดดในกรณีการใช้ยาฏิชีวนะ หรือ Retinoids โดยแนะนำ SPF ตั้งแต่ 30-50 ชนิด Water-Based หรือชนิดที่บางเบา ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันผิว
วิธีลดโอกาสในการเกิดสิว
1. รักษาความสะอาดผิวหน้า, ผิวกาย และเส้นผม
2. ไม่ใช้สบู่ที่มีค่าความเป็นกรดด่างสูง เพราะจะทำลายเซลล์ผิวที่เป็นสิวได้ง่าย
3. หลีกเลี่ยงสครับที่ทำร้ายผิวและทำให้สิวมีอาการรุนแรงขึ้น
4. อย่าเช็ดถูแรงๆ และไม่บีบหรือแกะสิว
5. พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้สนิท ลดความเครียด
6. รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะให้ครบทั้ง 5 หมู่ และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
7. หลีกเสี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการอุดตัน
8. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสีและน้ำหอม เนื่องจากอาจทำให้สิวมีอาการรุนแรงขึ้นและระคายเคืองต่อผิวหนัง
9 .หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจทำให้ผิวแห้งและยังกระตุ้นการผลิตน้ำมันในผิว
สิวมีผลทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของเรา การดูแลผิวที่เป็นสิวให้ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ คนที่ใช้ยารักษาสิวตามคำแนะนำของแพทย์มักจะต้องการการปลอบประโลมผิวไปพร้อมๆ กัน สกินแคร์ที่ดีไม่ว่าจะเป็นคลีนเซอร์ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ และกันแดด ย่อมให้ประสิทธิภาพที่ดีในการดูแลและปกป้องผิวที่กำลังอ่อนแอ
ที่ TNP มีผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยคุณดูแลผิวเป็นสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างแบรนด์สกินแคร์แบบครบวงจร ปรึกษาฟรี!
ข้อมูลจาก:
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์